Program Link Download

การ setup Password ถาวร สำหรับการรีโมทเพื่อป้องกันปัญหาอินเตอร์เน็ตไม่ต่อเนื่อง 

การออกแบบและพัฒนาระบบ AI Agent ด้วย Role และ RAG

บทนำ

ในยุคที่เทคโนโลยี AI ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การออกแบบระบบ AI Agent ที่สามารถตอบคำถามและแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแนวคิดการออกแบบระบบ AI Agent โดยใช้ Role และ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

1. Role: บทบาทของ AI Agent

Role คือบทบาทหรือหน้าที่ของ AI Agent ในการตอบคำถามหรือทำงานต่าง ๆ การกำหนด Role ให้ชัดเจนช่วยให้ระบบตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะตอบคำถามอย่างไร หรือควรใช้ฟังก์ชันใด

ตัวอย่าง Role

  • ผู้ช่วยทั่วไป: ตอบคำถามทั่วไป เช่น การทักทายหรือคำถามพื้นฐาน
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย: ตอบคำถามเกี่ยวกับยอดขายหรือรายงาน
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิต: ตอบคำถามเกี่ยวกับวัตถุดิบหรือต้นทุนการผลิต
  • ผู้ดูแลลูกค้า: จัดการปัญหาหรือคำร้องเรียนจากลูกค้า

วิธีการใช้งาน Role

  1. ใช้เงื่อนไข (Condition) เพื่อตรวจสอบประเภทของคำถาม
  2. กำหนด Role ที่เหมาะสมให้กับคำถามแต่ละประเภท
  3. เรียกใช้ฟังก์ชันเฉพาะทางตาม Role ที่กำหนด

2. RAG: การค้นหาและสร้างคำตอบ

RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิคที่ผสมผสานระหว่างการค้นหาข้อมูล (Retrieval) และการสร้างข้อความ (Generation) เพื่อให้ระบบสามารถตอบคำถามได้อย่างแม่นยำและเป็นประโยชน์

ขั้นตอนการทำงานของ RAG

  1. ค้นหาข้อมูล: ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูล (เช่น ฐานข้อมูลหรือเอกสาร)
  2. สร้างคำตอบ: นำข้อมูลที่ค้นหาได้มาสร้างเป็นคำตอบที่เหมาะสม

ตัวอย่างการใช้งาน RAG

  • บริการลูกค้า: ใช้ RAG เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาลูกค้าและสร้างคำตอบที่เหมาะสม
  • รายงานยอดขาย: ใช้ RAG เพื่อดึงข้อมูลยอดขายและสร้างรายงาน

3. การออกแบบระบบ AI Agent

การออกแบบระบบ AI Agent ที่ดีควรมีองค์ประกอบดังนี้:

3.1 การแบ่งส่วนการทำงาน

  • แยกการทำงานออกเป็นส่วน ๆ เช่น การตอบคำถามทั่วไป การจัดการปัญหาลูกค้า การคำนวณต้นทุนการผลิต
  • ใช้ Role เพื่อกำหนดหน้าที่ของแต่ละส่วน

3.2 การใช้งาน RAG เฉพาะส่วน

  • ใช้ RAG เฉพาะส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น บริการลูกค้า
  • สร้างไฟล์ Markdown เพื่อเก็บข้อมูลเฉพาะทาง (เช่น service_rag.md)

3.3 การโหลดข้อมูลจากไฟล์

อ่านข้อมูลจากไฟล์ Markdown เพื่อให้ระบบสามารถปรับปรุงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ด

# ข้อมูลบริการลูกค้า (Service RAG)

## 1. สินค้าไม่ตรงตามสั่ง
- **คำถามที่เกี่ยวข้อง**:
- สินค้าไม่ตรงตามสั่ง
- ได้รับสินค้าผิด
- **คำตอบ**: เราขออภัยในความไม่สะดวก กรุณาติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อจัดส่งสินค้าใหม่

## 2. สินค้าชำรุด
- **คำถามที่เกี่ยวข้อง**:
- สินค้าชำรุด
- สินค้าเสียหาย
- **คำตอบ**: เราจะส่งทีมงานไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด

## 3. บริการล่าช้า
- **คำถามที่เกี่ยวข้อง**:
- บริการล่าช้า
- ส่งของช้า
- **คำตอบ**: เราขออภัยในความล่าช้า และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

## 4. อื่น ๆ
- **คำถามที่เกี่ยวข้อง**:
- ปัญหาอื่น ๆ
- **คำตอบ**: ขอบคุณสำหรับการแจ้งปัญหา เราจะดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด

Python Code :

from qwen_agent import Agent
import re

class MyAgent(Agent):
    def __init__(self, api_key, role_file):
        super().__init__(api_key=api_key)
        self.role = "ผู้ช่วยทั่วไป"  # กำหนด Role เริ่มต้น
        self.roles = self.load_roles(role_file)  # โหลด Role จากไฟล์

    def _run(self, *args, **kwargs):
        return "Running the agent"

    def load_roles(self, role_file):
        # อ่าน Role จากไฟล์
        with open(role_file, "r", encoding="utf-8") as file:
            roles = file.read()
        return roles

    def chat_with_functions(self, prompt, functions):
        # กำหนด Role ตามประเภทคำถาม
        self.determine_role(prompt)

        # หากเป็นคำถามทั่วไป
        if self.role == "ผู้ช่วยทั่วไป":
            return self.handle_general_question(prompt)

        # หากเป็นคำถามเฉพาะทาง
        else:
            return self.handle_specialized_question(prompt, functions)

    def determine_role(self, prompt):
        # ตรวจสอบและกำหนด Role ตามคำถาม
        if re.search(r"(รายงานยอดขาย|ขอยอดขายทั้งหมด|ยอดขาย)", prompt):
            self.role = "ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย"
        elif re.search(r"(วัตถุดิบ|จำนวน)", prompt):
            self.role = "ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิต"
        elif re.search(r"(ปัญหา|สินค้าชำรุด|บริการล่าช้า)", prompt):
            self.role = "ผู้ดูแลลูกค้า"
        else:
            self.role = "ผู้ช่วยทั่วไป"

    def handle_general_question(self, prompt):
        # ตอบคำถามทั่วไป
        if "สวัสดี" in prompt:
            return "สวัสดีครับ! มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับ?"
        elif "สบายดีไหม" in prompt:
            return "ฉันเป็น AI ครับ แต่ขอบคุณที่ถามนะครับ!"
        else:
            return "มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับ?"

    def handle_specialized_question(self, prompt, functions):
        # ใช้ RAG เพื่อค้นหาข้อมูลและสร้างคำตอบ
        if self.role == "ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย":
            return self.retrieve_sales_data(prompt, functions[2])
        elif self.role == "ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิต":
            return self.retrieve_production_data(prompt, functions[0], functions[1])
        elif self.role == "ผู้ดูแลลูกค้า":
            return self.handle_customer_service(prompt, functions[3])

    def retrieve_sales_data(self, prompt, sales_function):
        # ใช้ RAG เพื่อค้นหาข้อมูลยอดขาย
        return sales_function()

    def retrieve_production_data(self, prompt, inventory_function, cost_function):
        # ใช้ RAG เพื่อค้นหาข้อมูลวัตถุดิบหรือต้นทุนการผลิต
        if "จำนวน" in prompt:
            item = re.search(r"(วัตถุดิบ A|วัตถุดิบ B|วัตถุดิบ C)", prompt)
            if item:
                return inventory_function(item.group())
            else:
                return "กรุณาระบุชื่อวัตถุดิบให้ถูกต้อง"
        elif "ต้นทุนการผลิต" in prompt:
            try:
                units = int(prompt.split("ต้นทุนการผลิต")[1].strip())
                return cost_function(units)
            except ValueError:
                return "กรุณาระบุจำนวนหน่วยให้ถูกต้อง"

    def handle_customer_service(self, prompt, service_function):
        # ใช้ RAG เพื่อจัดการปัญหาลูกค้า
        issue = prompt.split("ปัญหา")[1].strip() if "ปัญหา" in prompt else prompt
        return self.rag_customer_service(issue)

    def rag_customer_service(self, issue):
        # ตัวอย่างการใช้ RAG สำหรับบริการลูกค้า
        # ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูล
        knowledge_base = {
            "สินค้าชำรุด": "เราจะส่งทีมงานไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด",
            "บริการล่าช้า": "เราขออภัยในความล่าช้า และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด",
            "สินค้าไม่ตรงตามสั่ง": "เราขออภัยในความไม่สะดวก กรุณาติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อจัดส่งสินค้าใหม่"
        }

        # ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
        for keyword, response in knowledge_base.items():
            if keyword in issue:
                return response

        # หากไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
        return f"ขอบคุณสำหรับการแจ้งปัญหา '{issue}' เราจะดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด"

# ตั้งค่า API Key
api_key = 'Api Key'  # กรุณาแทนค่าด้วย API Key ของคุณ
role_file = 'role.md'  # ไฟล์บทบาท (Role)
agent = MyAgent(api_key=api_key, role_file=role_file)

# ฟังก์ชันสำหรับการซื้อ (Procurement)
def check_inventory(item):
    inventory = {
        "วัตถุดิบ A": 100,
        "วัตถุดิบ B": 50,
        "วัตถุดิบ C": 200
    }
    return f"จำนวน {item} ในคลัง: {inventory.get(item, 0)} หน่วย"

# ฟังก์ชันสำหรับการผลิต (Production)
def calculate_production_cost(units):
    cost_per_unit = 50  # ต้นทุนต่อหน่วย
    total_cost = units * cost_per_unit
    return f"ต้นทุนการผลิตสำหรับ {units} หน่วย: {total_cost} บาท"

# ฟังก์ชันสำหรับการขาย (Sales)
def get_sales_report():
    sales_data = {
        "มกราคม": 50000,
        "กุมภาพันธ์": 60000,  # แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
        "มีนาคม": 70000
    }
    return f"รายงานยอดขาย: {sales_data}"

# ฟังก์ชันสำหรับการบริการ (Service)
def handle_customer_service(issue):
    # ตัวอย่างการแก้ไขปัญหาลูกค้า
    if "สินค้าไม่ตรงตามสั่ง" in issue:
        return "เราขออภัยในความไม่สะดวก กรุณาติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อจัดส่งสินค้าใหม่"
    elif "สินค้าชำรุด" in issue:
        return "เราจะส่งทีมงานไปตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด"
    elif "บริการล่าช้า" in issue:
        return "เราขออภัยในความล่าช้า และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด"
    else:
        return f"ขอบคุณสำหรับการแจ้งปัญหา '{issue}' เราจะดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด"

# รวมฟังก์ชันทั้งหมดเข้าไว้ใน Agent
functions = [
    check_inventory,
    calculate_production_cost,
    get_sales_report,
    handle_customer_service
]

# ฟังก์ชันหลักสำหรับรับคำถามและตอบกลับ
def organization_system(prompt):
    try:
        response = agent.chat_with_functions(prompt, functions=functions)
        return response
    except Exception as e:
        return f"เกิดข้อผิดพลาด: {e}"

# ทดสอบการทำงานของระบบ
if __name__ == "__main__":
    while True:
        print("\nโปรดพิมพ์คำถามของคุณ (พิมพ์ 'exit' เพื่อออกจากโปรแกรม):")
        user_input = input("คำถาม: ")
        
        if user_input.lower() == 'exit':
            print("ขอบคุณที่ใช้งานระบบของเรา!")
            break
        
        # ส่งคำถามไปยังระบบ
        result = organization_system(user_input)
        print("คำตอบ:", result)

 ตัวอย่างคำตอบ

โปรดพิมพ์คำถามของคุณ (พิมพ์ 'exit' เพื่อออกจากโปรแกรม):
คำถาม: สวัสดี
คำตอบ: สวัสดีครับ! มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับ?

โปรดพิมพ์คำถามของคุณ (พิมพ์ 'exit' เพื่อออกจากโปรแกรม):
คำถาม: รายงานยอดขาย
คำตอบ: รายงานยอดขาย: {'มกราคม': 50000, 'กุมภาพันธ์': 60000, 'มีนาคม': 70000}

โปรดพิมพ์คำถามของคุณ (พิมพ์ 'exit' เพื่อออกจากโปรแกรม):
คำถาม: สินค้ามีปัญหา
คำตอบ: - เราขออภัยในความไม่สะดวก กรุณาติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อจัดส่งสินค้าใหม่

โปรดพิมพ์คำถามของคุณ (พิมพ์ 'exit' เพื่อออกจากโปรแกรม):
คำถาม:

สิ่งที่ควรเตรียม และ พื้นฐานความรู้ก่อนเริ่มใช้งาน ArtCAM และ Candle CNC Control

ก่อนจะเริ่มต้นทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้น คุณควรเตรียมตัวเบื้องต้นและมีความรู้พื้นฐานในหัวข้อดังต่อไปนี้ เพื่อให้สามารถใช้งาน ArtCAM และ Candle CNC Control ได้อย่างมีประสิทธิภาพ :

📌 1. สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเริ่มทำงาน

🔹 อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์

  • เครื่อง Mini CNC (เช่น NLT2020, BS3040, ฯลฯ)
  • ดอกกัด (Cutting Tools) ที่เหมาะสมกับวัสดุที่ต้องการกัด:
    • ดอกกัดหัวแบน (Endmill) สำหรับกัดงานทั่วไป
    • ดอกกัดหัวแหลม (V-Bit) สำหรับการกัดเส้นหรือแกะสลักละเอียด
  • วัสดุสำหรับกัด (เช่น ไม้, อะคริลิค, พลาสติก, อลูมิเนียม)
  • คอมพิวเตอร์ (Windows) สำหรับติดตั้งและใช้งานโปรแกรม ArtCAM และ Candle CNC Control
  • สายเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และเครื่อง CNC (USB Cable)

  

🔹 ซอฟต์แวร์ที่จำเป็น

  • โปรแกรม ArtCAM - ใช้สำหรับออกแบบ Vector และ สร้างไฟล์ gCode
  • โปรแกรม Candle CNC Control - ใช้สำหรับควบคุมเครื่อง CNC และสั่งรัน gCode
  • ไฟล์ที่อาจต้องใช้เพิ่มเติม (เช่น แบบงาน, โลโก้ หรือ Vector ไฟล์ต่างๆ ในฟอร์แมต DXF, SVG, AI ฯลฯ)

 

📌 2. ความรู้พื้นฐานที่ควรศึกษาเบื้องต้น

🔸 พื้นฐานการใช้งานคอมพิวเตอร์

  • การติดตั้งโปรแกรม การจัดการไฟล์ต่างๆ (ดาวน์โหลด, เปิด, บันทึกไฟล์)
  • การเชื่อมต่อและตรวจสอบอุปกรณ์ USB กับคอมพิวเตอร์

🔸 พื้นฐานการออกแบบและแก้ไข Vector 2 มิติ

  • การทำความเข้าใจเรื่อง Vector Graphics (ภาพที่ประกอบด้วยเส้น, จุด, และรูปร่างที่ชัดเจน)
  • การวาด, แก้ไข Vector และการเตรียม Vector ให้พร้อมสำหรับการกัดงาน
  • การนำเข้าและส่งออกไฟล์ (Import/Export)

🔸 พื้นฐานโปรแกรม ArtCAM

  • การใช้งานเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Line Tool, Rectangle, Circle, Polyline
  • การจัดการขนาดและการวางตำแหน่งงานใน ArtCAM
  • การตั้งค่าและสร้าง Toolpaths (เส้นทางกัดงาน)
  • การเลือกและตั้งค่าดอกกัดให้เหมาะสมกับวัสดุ

🔸 ความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่อง CNC และการกัดงาน

  • เข้าใจการทำงานของเครื่อง CNC (แกน X, Y, Z)
  • เข้าใจการกำหนดจุด Home หรือจุดตั้งต้น (Zero Position)
  • การเลือกใช้ความเร็วรอบ (Spindle Speed) และความเร็วกัด (Feed Rate) ให้เหมาะสมกับวัสดุ
  • ข้อควรระวังเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน CNC

🔸 การใช้งานโปรแกรม Candle CNC Control

  • การเชื่อมต่อเครื่อง CNC กับคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรม Candle
  • การกำหนดจุด Zero และ Jogging เครื่อง CNC
  • การเปิดไฟล์ gCode และตรวจสอบความถูกต้องก่อนเริ่มกัดจริง

📌 3. การเตรียมตัวเพิ่มเติม (แนะนำเพิ่มเติม)

  • ศึกษาการใช้งานพื้นฐานของ CNC เบื้องต้นผ่านวิดีโอหรือบทความเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
  • ศึกษาการดูแลรักษาและการเปลี่ยนดอกกัด (Tool Maintenance)
  • ทดลองทำงานง่ายๆ ก่อนเพื่อฝึกการตั้งค่าและสร้างความมั่นใจก่อนทำงานที่ซับซ้อนขึ้น

📌 สรุป:

ก่อนที่จะศึกษาและปฏิบัติตามบทความที่ให้ไว้ด้านบน คุณควรมีความเข้าใจพื้นฐานในเรื่อง CNC, Vector Graphics, ArtCAM, Candle CNC Control, และวิธีใช้งานเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ก่อน เพื่อให้การทำงานราบรื่นและปลอดภัยมากที่สุดครับ

ขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดในการสร้างไฟล์ gCode ด้วย ArtCAM สำหรับ Candle CNC Control

บทความนี้จะแนะนำวิธีการสร้างไฟล์ gCode ด้วยโปรแกรม ArtCAM เพื่อใช้งานกับโปรแกรม Candle CNC Control สำหรับงานกัดชิ้นงาน 2 มิติ (2D) อย่างมีประสิทธิภาพ

📌 ขั้นตอนที่ 1: ออกแบบหรือ Import ไฟล์เข้า ArtCAM

  • เปิดโปรแกรม ArtCAM
  • สร้างไฟล์ใหม่ (New Model):
    • กำหนดขนาดของชิ้นงาน (Width, Height) และหน่วยวัด (เช่น mm)
    • ตั้งค่า Resolution (แนะนำอย่างต่ำ 1000 x 1000 pixels)
    • คลิก OK เพื่อสร้างพื้นที่ทำงาน
  • วาดรูปทรง 2D โดยใช้เครื่องมือ เช่น:
    • วาดเส้น (Polyline หรือ Line Tool)
    • วงกลม (Circle), สี่เหลี่ยม (Rectangle)
    • หรือ Import Vector จากไฟล์ (.dxf, .ai, .svg เป็นต้น)

📌 ขั้นตอนที่ 2: ปรับแต่งชิ้นงานและ Vector

  • จัดตำแหน่ง Vector ให้อยู่ภายในพื้นที่ทำงาน (Center in Model)
  • ตรวจสอบและแก้ไข Vector ที่มีปัญหา:
    • รวมเส้น (Join Vectors)
    • ปรับเส้นที่ทับซ้อน (Node Editing)
    • ตรวจสอบว่าไม่มีเส้นเปิด (Open Vector)

📌 ขั้นตอนที่ 3: กำหนด Toolpath (เส้นทางกัดงาน)

  • ไปที่เมนู Toolpaths → เลือกประเภทที่เหมาะสม เช่น:
    • Profile Toolpath (กัดตามเส้นโครงร่างภายนอก)
    • Area Clearance (กัดเคลียร์พื้นที่)
    • Engraving (กัดลายเส้นตื้นๆ)
  • กำหนดค่า Toolpath อย่างละเอียด:
    • Start Depth (ความลึกเริ่มต้น ส่วนมากกำหนดเป็น 0)
    • Finish Depth (ความลึกที่ต้องการกัด เช่น 3 มม.)
    • Machine Safe Z (ระยะปลอดภัย) (ตั้งอย่างน้อย 5 มม.)
    • เลือกดอกกัด (Tool):
      - ประเภทดอกกัด (Endmill, V-bit เป็นต้น)
      - เส้นผ่านศูนย์กลาง (Diameter)
      - ความเร็วรอบ (Spindle speed) เช่น 8000 RPM
      - ความเร็วกัด (Feed Rate) เช่น 400 mm/min
      - ความลึกในการกัดต่อรอบ (Stepdown) เช่น 0.5-1.0 mm
  • คลิก Calculate เพื่อคำนวณเส้นทางกัดงาน
  • ตรวจสอบเส้นทางกัดงานด้วยการคลิกที่ Preview Toolpaths

📌 ขั้นตอนที่ 4: สร้างไฟล์ gCode

  • เมื่อแน่ใจแล้วว่าเส้นทางกัดถูกต้อง ให้คลิกที่เมนู Save Toolpath
  • เลือก Post Processor ที่เหมาะกับเครื่อง CNC ของคุณ:
    • สำหรับใช้งานกับ Candle CNC Control แนะนำให้เลือก "G-Code (mm)(.tap)" หรือ "Mach3 (mm)(.tap)"
  • ไฟล์ที่ได้จะเป็น .tap หรือ .nc (Candle รองรับทั้งสอง)
  • กำหนดชื่อไฟล์ และเลือกตำแหน่งที่ต้องการบันทึก
  • คลิก Save เพื่อสร้างไฟล์ gCode

📌 ขั้นตอนที่ 5: ใช้งาน gCode ด้วย Candle CNC Control

  • เปิดโปรแกรม Candle CNC Control
  • คลิกที่ Open เพื่อเลือกไฟล์ gCode (.tap หรือ .nc) ที่บันทึกไว้
  • ตรวจสอบเส้นทางกัด (Preview) ใน Candle อีกครั้ง
  • กำหนดตำแหน่งจุด Home (X, Y, Z) ของชิ้นงาน:
    • ใช้การ Jog เครื่องไปยังตำแหน่งจุดเริ่มต้นที่ต้องการ แล้วกด Set Zero ที่แต่ละแกน (X, Y, Z)
  • ตรวจสอบความพร้อมของเครื่อง CNC และตำแหน่งของดอกกัด
  • เมื่อพร้อมแล้ว คลิก Send เพื่อเริ่มกัดงานตามไฟล์ gCode ที่สร้างมา

✅ ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

  • ก่อนเริ่มกัดจริง ควรทดสอบด้วยการกัดอากาศ (กัดโดยไม่ติดตั้งวัสดุจริง) เพื่อเช็คเส้นทางกัด
  • ตรวจสอบดอกกัดให้เหมาะสมกับวัสดุที่เลือก (ไม้, อะคริลิค, อลูมิเนียม)
  • ตรวจสอบความเร็วรอบและความเร็วกัดให้เหมาะสม เพื่อป้องกันดอกหักหรือวัสดุไหม้

เมื่อทำตามขั้นตอนด้านบนอย่างละเอียด คุณจะสามารถใช้งาน ArtCAM เพื่อสร้าง gCode สำหรับโปรแกรม Candle CNC Control เพื่อกัดงาน 2 มิติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักสูตร: มอเตอร์คอนโทรลสำหรับงาน Motion Control

ระยะเวลา: 40-50 ชั่วโมง

กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางไฟฟ้ามาก่อน , ช่างเทคนิค , วิศวกร , และ ผู้ที่ต้องการนำ

ไปประยุกต์ใช้กับ CNC และ Robot

โครงสร้างหลักสูตร

Module 1: พื้นฐานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น (6-8 ชั่วโมง)

  • ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า
  • กระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า ความต้านทาน กำลังไฟฟ้า
  • วงจรไฟฟ้าพื้นฐาน
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
  • ความปลอดภัยในการทำงานกับไฟฟ้า

Module 2: มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ และการทำงานของมอเตอร์ (8-10 ชั่วโมง)

  • DC Motor: Brushed และ Brushless
  • AC Motor: Induction, Synchronous
  • Stepper Motor
  • AC Servo Motor
  • Commutation ของมอเตอร์แต่ละประเภท

Module 3: การควบคุมมอเตอร์และวงจรขับมอเตอร์ (10-12 ชั่วโมง)

  • หลักการทำงานของมอเตอร์ไดรฟ์
  • PWM และการควบคุมทิศทาง
  • การใช้ H-Bridge และ Inverter
  • Microcontroller กับการควบคุมมอเตอร์

Module 4: ระบบ Motion Control และการใช้งานกับ CNC และ Robot (12-14 ชั่วโมง)

  • Closed-loop vs Open-loop Control
  • Encoder และ Feedback System
  • การควบคุมมอเตอร์ใน CNC และ Robot
  • Workshop: การเขียนโปรแกรมควบคุมมอเตอร์เบื้องต้น

Module 5: การออกแบบและสร้างระบบ Motion Control สำหรับงานจริง (6-8 ชั่วโมง)

  • การเลือกมอเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน
  • การออกแบบวงจรควบคุม
  • Workshop: สร้างโปรเจค Motion Control ของตัวเอง

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

  • เข้าใจพื้นฐานไฟฟ้าและการทำงานของมอเตอร์
  • สามารถเลือกมอเตอร์ให้เหมาะสมกับงาน Motion Control
  • สามารถควบคุมมอเตอร์ด้วย Microcontroller หรือ PLC
  • สามารถประยุกต์ใช้กับ CNC และ Robot

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน

  • มอเตอร์แต่ละประเภท (DC, AC, Stepper, Servo)
  • Microcontroller (Arduino, STM32, Raspberry Pi)
  • อุปกรณ์วงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
  • Software สำหรับ Simulation และ Programming